บริการด้านภาษีสำหรับชาวต่างชาติในประเทศไทย

สิ่งที่เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรกล่าว: ประกาศอย่างเป็นทางการของกรมสรรพากรเกี่ยวกับรายได้ที่มาจากต่างประเทศ

มีนาคม 21, 2024 | โดดเด่น, ข้อมูลเชิงลึก

ข้อสงวนสิทธิ์ในการให้คำแนะนำด้านภาษี

ข้อมูลบนเว็บไซต์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ถือเป็นคำแนะนำด้านภาษีจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดดูรายละเอียดฉบับเต็มของเรา ข้อสงวนสิทธิ์ในการให้คำแนะนำด้านภาษี.

บทความนี้จะตรวจสอบประกาศอย่างเป็นทางการโดย กรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีรายได้จากต่างประเทศ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เนื่องจากการตีความกฎหมายภาษีได้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ชาวต่างชาติจำนวนมากต้องเข้ามาอยู่ในระบบภาษีเป็นครั้งแรก บทความนี้จะสรุปข้อกำหนดอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ชาวต่างชาติมีข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับภาระผูกพันทางภาษี

กฎหมายภาษีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายได้จากต่างประเทศ – ฉบับที่ ป. 161/2566

การประกาศใช้กฎหมายภาษีใหม่

เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566 กรมสรรพากรของประเทศไทยได้ออกกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมที่สำคัญเกี่ยวกับกฎหมายภาษี ซึ่งส่งผลกระทบต่อบุคคลที่มีรายได้จากต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการใน ราชกิจจานุเบกษา 6 ตุลาคม 2566ทำให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ ภายใต้ข้อบังคับใหม่นี้ บุคคลใดก็ตามที่พำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 180 วันหรือมากกว่าภายในปีภาษีหนึ่งๆ จะถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่เพื่อเสียภาษีในประเทศไทย การกำหนดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติต้องปฏิบัติตามกฎหมายภาษีฉบับปรับปรุงเกี่ยวกับรายได้ที่มาจากต่างประเทศ

การตีความและผลกระทบของกฎหมายภาษีใหม่

แก่นของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คือการตีความ มาตรา 41 วรรค 2 แห่งประมวลรัษฎากรตามรายละเอียดในคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 161/2566 (เลขที่ ก.พ. 161/2566) การตีความนี้กำหนดให้ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีจากรายได้ที่มาจากต่างประเทศในปีที่นำเงินนั้นเข้ามาในประเทศไทย ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย หมายถึง บุคคลใดๆ ที่พำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 180 วันขึ้นไปภายในปีภาษีหนึ่ง และข้อกำหนดนี้บังคับใช้กับทั้งผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยและผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศ

การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษี

การตีความใหม่นี้ขัดแย้งกับกฎเดิมที่อนุญาตให้ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศสามารถเลื่อนการจ่ายภาษีได้โดยการเลื่อนการโอนรายได้จากต่างประเทศมายังประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับระบบภาษีและรับรองว่ารายได้ที่ได้รับจากต่างประเทศจะถูกเก็บภาษีอย่างเหมาะสมเมื่อนำเข้ามาในประเทศไทย

ระยะเวลาการจัดเก็บภาษีและเครดิตภาษี

มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 กฎนี้กำหนดให้รายได้จากต่างประเทศที่ผู้มีถิ่นพำนักในประเทศไทยส่งเข้ามาในประเทศไทย จะต้องเสียภาษีภายในปีภาษีเดียวกันกับปีที่นำเงินเข้า ข้อพิจารณาที่สำคัญภายใต้กฎใหม่นี้คือความสามารถในการนำภาษีที่ชำระในต่างประเทศไปหักจากภาระภาษีของบุคคลธรรมดาในประเทศไทย บทบัญญัตินี้สอดคล้องกับ สนธิสัญญาภาษีซ้อนอาจช่วยลดภาระภาษีของแต่ละบุคคลได้ โดยการยอมรับภาษีที่บุคคลนั้นได้ชำระไปแล้วที่อื่น

การชี้แจงเรื่องรายได้จากต่างประเทศที่ต้องเสียภาษี

คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566 ระบุประเภทของรายได้จากต่างประเทศที่ต้องเสียภาษีเมื่อโอนเข้ามาประเทศไทย พร้อมทั้งชี้แจงให้ชัดเจนว่ารายได้จากต่างประเทศที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมายไทยมีอะไรบ้าง

คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161-2566 - 15 กันยายน 2566

ตามประกาศกรมสรรพากรที่ ป.161/2566

ผลกระทบต่อผู้ที่อาศัยอยู่ต่างแดน

สำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจถึงผลกระทบของกฎหมายภาษีฉบับใหม่เหล่านี้ เพื่อการบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับกฎหมายภาษีของไทย การประกาศใช้กฎหมายเหล่านี้ในราชกิจจานุเบกษา เป็นการแจ้งให้สาธารณชนทราบถึงการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย และแสดงให้เห็นถึงความมีผลบังคับใช้และการบังคับใช้ตามกฎหมายไทย

สรุป

โดยสรุป การแก้ไขกฎหมายภาษีของประเทศไทยเกี่ยวกับรายได้ที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ส่งผลกระทบทางกฎหมายต่อผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย การพัฒนานี้จำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้และการวางแผนทางการเงินเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

กรมสรรพากร เผยคำถาม-คำตอบ ชี้แจงกฎเกณฑ์ใหม่

กรมสรรพากรได้เผยแพร่เอกสารถาม-ตอบ ซึ่งประกอบด้วยคำถาม 11 ข้อ เพื่อประกอบการประกาศใช้เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566 เพื่อความชัดเจนเกี่ยวกับกฎระเบียบ เอกสารฉบับนี้เผยแพร่เป็นภาษาไทยเท่านั้น คุณสามารถดาวน์โหลดต้นฉบับได้ที่นี่ ซึ่งเราได้แปลไว้เต็มๆ ไว้ข้างล่างนี้ครับ.
คำถาม 1. คำสั่งกรมสรรพากรที่ ดี.ป.161/2566 ลงวันที่ 15 กันยายน 2566 มีหลักการอย่างไร?

คำตอบ: คำสั่งกรมสรรพากรที่ ดี.ป. 161/2566 เป็นการอธิบายหลักกฎหมายตามมาตรา 41 วรรคสอง ว่าบุคคลจะมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากแหล่งเงินได้ต่างประเทศ เมื่อเข้ารายการดังต่อไปนี้

  • บุคคลมีรายได้ที่ต้องเสียภาษีจากต่างประเทศ ในปีภาษีที่อยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 180 วันขึ้นไป และ;
  • บุคคลนั้นได้นำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีนั้นหรือในปีภาษีถัดไป ผลลัพธ์:“หากเป็นไปตามเงื่อนไขทั้งสองข้อนี้ บุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องรวมรายได้ที่ต้องประเมินภาษีดังกล่าวในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษีที่นำรายได้ที่ต้องประเมินภาษีเข้ามาในประเทศไทย”

ตัวอย่าง: ในปี พ.ศ. 2566 คุณ ก. พักอาศัยอยู่ในประเทศไทยรวม 200 วัน เขามีรายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศและนำเงินดังกล่าวฝากเข้าบัญชีธนาคารในต่างประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2570 คุณ ก. ได้นำเงินดังกล่าวเข้าบัญชีธนาคารในประเทศไทย ดังนั้นเขาจึงต้องนำเงินรายได้จากการเช่าที่ได้รับจากต่างประเทศนี้มาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี พ.ศ. 2570

คำถามที่ 2. คำสั่งกรมสรรพากรที่ ดี.ป.161/2566 ลงวันที่ 15 กันยายน 2566 มีผลบังคับใช้เมื่อใด ?

คำตอบ: ใช้ได้กับรายได้ที่ต้องประเมินทุกประเภทไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดหากนำเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป

คำถามที่ 3: ผู้มีถิ่นที่อยู่เพื่อเสียภาษีในประเทศไทย หมายถึงอะไร?
คำตอบ: บุคคลใดก็ตามที่อยู่ในประเทศไทยรวมเป็นเวลา 180 วันขึ้นไปภายในปีภาษีนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลาติดต่อกันครั้งเดียวหรืออยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลาไม่ติดต่อกันหลายครั้ง โดยไม่คำนึงถึงสัญชาติหรือชาติพันธุ์ของบุคคลนั้น
ตัวอย่าง:
  • นาย ก. อยู่ในประเทศไทยทุกวันตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคม พ.ศ. 2567 เป็นเวลารวม 366 วัน นาย ก. ถือเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยในปีภาษี พ.ศ. 2567
  • คุณเค อยู่ในประเทศไทยในช่วงเดือนคี่ในปี 2567 รวม 184 วัน คุณเค ถือเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยในปีภาษี 2567
  • นาย C อยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคม พ.ศ. 2567 เป็นเวลารวม 179 วัน นาย C ไม่ถือเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยในปีภาษี พ.ศ. 2567
  • นาง D อยู่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลารวม 250 วัน โดย 100 วันแรกอยู่ในปีภาษี 2567 และ 150 วันสุดท้ายอยู่ในปีภาษี 2568 ดังนั้น นาง D จึงไม่ถือเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยทั้งในปีภาษี 2567 และปีภาษี 2568 เนื่องจากนาง D อยู่ในประเทศไทยน้อยกว่า 180 วันในทั้งสองปีภาษี

คำถามที่ 4: รายได้ประเภทใดที่ต้องเสียภาษีตาม มาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร?

คำตอบ: เงินได้พึงประเมินจากแหล่งเงินได้ต่างประเทศที่ต้องเสียภาษีเงินได้ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) ถึง (8) แห่งประมวลรัษฎากร อย่างไรก็ตาม หากเงินได้พึงประเมินดังกล่าวได้รับการยกเว้นภาษีตามกฎหมาย ผู้เสียภาษีไม่ต้องเสียภาษีในประเทศไทย เช่น ทรัพย์สินที่ได้รับมรดก หรือของขวัญที่ได้รับไม่เกิน 20 ล้านบาทในปีภาษีนั้น

คำถามที่ 5: หากคุณนำเงินไปซื้อพันธบัตรต่างประเทศและได้รับดอกเบี้ยจากการถือพันธบัตรดังกล่าว และภายหลังคุณนำเงินต้นและดอกเบี้ยกลับมายังประเทศไทย คุณจำเป็นต้องรวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่

คำตอบ: ไม่ ภาษีเงินได้จะต้องชำระเฉพาะส่วนดอกเบี้ยที่ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร โดยมีเงื่อนไขว่า ดอกเบี้ยดังกล่าวจะต้องนำกลับเข้ามาในประเทศไทย และบุคคลดังกล่าวต้องอยู่ในประเทศไทยเกินกว่า 180 วัน

คำถามที่ 6: หากเป็นรายได้ที่ต้องประเมินภาษีที่ได้รับก่อนปี 2567 แต่นำกลับมาประเทศไทยในปี 2567 จะต้องเสียภาษีหรือไม่?

คำตอบ: ใช่ หากเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้นในปีภาษีที่ผู้มีเงินได้อยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 180 วันขึ้นไป และนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ผู้มีเงินได้ต้องนำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2567 และต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีภายในเดือนมีนาคม 2568

คำถามที่ 7: หากได้รับเงินได้พึงประเมินในปี 2566 และนำเข้ามาในประเทศไทยในปี 2566 จะต้องเสียภาษีเงินได้หรือไม่?

คำตอบ: ภาษีนี้ต้องชำระหากมีรายได้พึงประเมินเกิดขึ้นในปีภาษีที่ผู้มีเงินได้อยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 180 วันขึ้นไป และนำรายได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษี 2566 ผู้มีเงินได้ต้องนำรายได้พึงประเมินดังกล่าวมารวมในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2566 และยื่นแบบแสดงรายการภาษีภายในเดือนมีนาคม 2567

คำถามที่ 8: หากคุณไม่อยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 180 วันขึ้นไปในปีภาษี แต่คุณมีรายได้ที่ต้องเสียภาษีจากแหล่งต่างประเทศในปีภาษีดังกล่าว ฉันต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่เมื่อนำรายได้ที่ต้องเสียภาษีนั้นกลับเข้ามาในประเทศไทย

คำตอบ: ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แม้ว่าจะนำรายได้ที่ต้องเสียภาษีกลับเข้ามาในประเทศไทยแล้วก็ตาม ตัวอย่าง: ในปี พ.ศ. 2571 นาย ก. อยู่ในประเทศไทยเป็นเวลารวม 65 วัน และมีรายได้ที่ต้องเสียภาษีจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ การนำเงินค่าเช่าเข้าบัญชีธนาคารในต่างประเทศในปีเดียวกัน และโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีธนาคารในประเทศไทย ทำให้นาย ก. ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินค่าเช่าดังกล่าว เนื่องจากเขาไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยในขณะที่ได้รับเงิน

คำถามที่ 9: หากบุคคลหนึ่งอาศัยและทำงานหรือดำเนินธุรกิจในต่างประเทศเป็นเวลานาน แต่ภายหลังกลับมาและนำรายได้ที่สะสมมาจากต่างประเทศกลับมาประเทศไทย บุคคลดังกล่าวจะต้องเสียภาษีจากรายได้เหล่านี้หรือไม่

คำตอบ: ไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากรายได้สะสมดังกล่าวมาจากเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นในปีภาษีที่บุคคลนั้นพำนักอยู่ในประเทศไทยน้อยกว่า 180 วัน ตัวอย่าง: นาง D. มีสัญชาติไทยและพำนักอยู่ในประเทศจีนตั้งแต่ปี 2550 แต่ในปี 2567 นาง D. ต้องการเดินทางกลับไปพำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นการถาวร จึงได้นำรายได้สะสมจากการทำงานในประเทศจีนกลับมา ดังนั้น นาง D. จึงไม่มีภาระผูกพันในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินที่นำเข้าประเทศไทยในปี 2567 เนื่องจากรายได้สะสมดังกล่าวมาจากเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นในปีภาษีที่นาง D. ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย

คำถามที่ 10: หากรายได้ที่ประเมินภาษีที่นำเข้ามาในประเทศไทยถูกเก็บภาษีในต่างประเทศแล้ว และคุณนำรายได้นั้นกลับมายังประเทศไทย คุณจะต้องเสียภาษีจากรายได้ที่ประเมินภาษีนี้อีกครั้งหรือไม่ และท้ายที่สุดจะต้องเสียภาษีซ้ำซ้อนหรือไม่

คำตอบ: ในกรณีนี้ไม่มีการเก็บภาษีซ้ำซ้อน หากคุณถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย (พำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 180 วันขึ้นไป) ภาษีที่ชำระในต่างประเทศสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีที่ชำระในประเทศไทยในปีภาษีที่มีรายได้พึงประเมินเข้ามาในประเทศไทย ตามบทบัญญัติของสนธิสัญญาภาษีซ้ำซ้อนที่ประเทศไทยเป็นภาคีคู่สัญญา

คำถามที่ 11: เนื่องจากคำสั่งกรมสรรพากรที่ 161/2566 ไม่ใช่กฎหมาย ผู้เสียภาษีจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งนี้หรือไม่ ?

คำตอบ: แม้ว่าคำสั่งนี้จะไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นคำอธิบายมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร แต่ผู้เสียภาษีก็ยังคงมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ คำสั่งกรมสรรพากรประเภท พ. เป็นคำสั่งที่อธิบดีในฐานะผู้ควบคุมดูแล สั่งให้เจ้าหน้าที่สรรพากรถือปฏิบัติเป็นแนวทางปฏิบัติในการให้คำแนะนำแก่ผู้เสียภาษีให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

ชี้แจงเรื่องภาษีสำหรับคนต่างด้าว: คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.162/2566 – 20 พฤศจิกายน 2566

กรมสรรพากรได้ปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีรายได้จากต่างประเทศ โดยการนำคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.162/2566 มาใช้ คำสั่งนี้ต่อยอดจากการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานที่กำหนดไว้ในคำสั่งที่ ป.161/2566 ซึ่งเปลี่ยนภาระภาษีเป็นปีที่นำรายได้จากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย แทนที่จะเป็นปีที่รับรายได้ ต่อไปนี้คือรายละเอียดประเด็นสำคัญและผลกระทบของคำสั่งเหล่านี้:

การเปลี่ยนแปลงเบื้องต้นและผลที่ตามมา

คำสั่งเลขที่ P.161/2023 กำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ โดยระบุว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป รายได้จากต่างประเทศจะถูกจัดเก็บภาษีในปีที่นำเงินเข้ามาในประเทศไทย ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยมุ่งหวังที่จะลดความซับซ้อนของกระบวนการจัดเก็บภาษีและเพื่อให้มั่นใจว่าการจัดเก็บภาษีจะเป็นไปอย่างทันท่วงที

คำชี้แจงตามคำสั่งที่ ป.162/2566

คำสั่งที่ 162/2023 ซึ่งออกเพื่อแก้ไขข้อกังวลและความคลุมเครือ ระบุอย่างชัดเจนว่ารายได้ที่ได้รับก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 จะไม่อยู่ภายใต้กฎใหม่ การแก้ไขเพิ่มเติมนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บภาษีจะไม่มีผลย้อนหลัง ซึ่งจะช่วยบรรเทาและเพิ่มความชัดเจนให้กับผู้เสียภาษี

คำแนะนำโดยละเอียดเกี่ยวกับรายได้จากต่างประเทศ

คำสั่งเลขที่ P.162/2023 ยังได้กำหนดแนวทางที่ครอบคลุมเกี่ยวกับวิธีการจัดเก็บภาษีรายได้จากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับรายได้จากการทำงาน กิจกรรมทางธุรกิจ หรือทรัพย์สินที่ตั้งอยู่นอกประเทศไทย แนวทางนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบุคคลและธุรกิจในการทำความเข้าใจภาระภาษีและวางแผนการเงินให้เหมาะสม

การแก้ไขที่สำคัญและผลกระทบ

การแก้ไขที่สำคัญในคำสั่งเลขที่ P.162/2023 คือการชี้แจงเพิ่มเติมในข้อแรกของคำสั่งเลขที่ P.161/2023 ซึ่งกำหนดว่ากฎการจัดเก็บภาษีฉบับใหม่จะไม่มีผลกระทบต่อรายได้ที่ได้รับก่อนปี 2024 การยกเว้นภาษีฉบับพิเศษนี้ให้ระยะเวลาเปลี่ยนผ่านแก่ผู้เสียภาษี ช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถปรับตัวเข้ากับระบบใหม่ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บภาษีแบบย้อนหลัง

การวางแผนผลกระทบเชิงปฏิบัติและภาษี

สำหรับผู้เสียภาษี ความแตกต่างที่ชัดเจนนี้หมายความว่ารายได้จากต่างประเทศที่ได้รับก่อนปี 2567 สามารถวางแผนนำเงินกลับประเทศไทยได้โดยไม่ต้องเสียภาษีทันทีตามกฎระเบียบใหม่ กฎระเบียบนี้ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบภาษีใหม่เป็นไปอย่างราบรื่นและช่วยให้การวางแผนภาษีและการจัดการทางการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น

คำสุดท้าย

การออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.162/2566 แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่รอบคอบของกรมสรรพากรในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ภาษีสำหรับรายได้จากต่างประเทศ กรมสรรพากรได้กำหนดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและรับรองว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะไม่มีผลย้อนหลัง ซึ่งช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถปรับเปลี่ยนระบบภาษีใหม่ได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น การปรับปรุงครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการปรับนโยบายภาษีของประเทศไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อสร้างความเป็นธรรมและความโปร่งใสในระบบภาษีสำหรับทั้งผู้มีถิ่นพำนักถาวรและผู้มีถิ่นพำนักถาวรที่มีหน้าที่รับผิดชอบรายได้จากต่างประเทศ

คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.162/2566

คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.162/2566

การแปล  คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.162/2566 เรื่อง : การชำระภาษีเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือปฏิบัติเป็นแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบและให้คำแนะนำแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีที่ผ่านมา เนื่องจากหน้าที่การงานหรือกิจการที่ดำเนินการในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร กรมสรรพากรจึงได้มีคำสั่งดังต่อไปนี้: ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา 1 แห่งคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2023 เรื่องการเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 15 กันยายน 2566 “บทบัญญัติในวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับกับเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567” มีคำสั่ง ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 นางกุลยา ตันติเตมิท (นางสาวกุลยา ตันติเตมิท) อธิบดีกรมบัญชีกลาง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร

อัปเดต: 29 กรกฎาคม 2567

กรมสรรพากรออกหนังสือชี้แจงหลักเกณฑ์ภาษีสำหรับชาวต่างชาติ 

กรมสรรพากรได้ออกเอกสารใหม่ชื่อ “ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเสียภาษีอย่างไร?” เอกสารนี้ยืนยันกฎเกณฑ์ปัจจุบันเกี่ยวกับรายได้จากต่างประเทศอีกครั้ง และเน้นย้ำถึงความตั้งใจที่จะใช้กฎเกณฑ์เหล่านี้สำหรับปีภาษีปัจจุบัน

คุณสามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่นี่

สรุปข้อมูล

รายได้ที่ต้องเสียภาษี

  • รายได้จากแหล่งไทย: รายได้ใดๆ ที่ได้รับจากแหล่งที่มาภายในประเทศไทยจะต้องเสียภาษีเงินได้ของไทย ไม่ว่าจะจ่ายไปที่ใดก็ตาม
  • รายได้จากต่างประเทศ: รายได้ที่ได้รับจากแหล่งนอกประเทศไทยจะต้องเสียภาษีไทยหาก:
    • จะได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป โดยชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 180 วันขึ้นไปในปีภาษี
    • โดยจะโอนกลับประเทศไทยในปีภาษีเดียวกันหรือปีถัดไป

การยกเว้น

  • รายได้ที่ได้รับก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 และนำส่งมายังประเทศไทยในปีภาษีถัดไปจะไม่ต้องเสียภาษีไทย
  • แม้ว่าจะโอนในภายหลัง รายได้ที่มาจากต่างประเทศของผู้ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยก็ไม่ต้องเสียภาษีในประเทศไทย

การยื่นแบบภาษี

  • ชาวต่างชาติจะต้องรายงานรายได้ที่มีแหล่งที่มาจากไทยและรายได้ที่มีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ (ส่งกลับมาประเทศไทย) ในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91)
  • รายได้ที่ต้องเสียภาษีจะรวมถึงรายได้ที่ได้รับจากประเทศไทยและรายได้ที่ได้รับจากต่างประเทศที่ส่งเข้ามาในช่วงปีภาษี

การลดหย่อนภาษีต่างประเทศ

  • ภายใต้ข้อตกลงภาษีซ้ำซ้อน (DTA) ภาษีเงินได้ที่จ่ายในต่างประเทศสามารถนำมาหักจากภาษีไทยได้ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเก็บภาษีซ้ำซ้อนสำหรับผู้มีถิ่นพำนักในประเทศไทย
  • จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษเพื่อขอเครดิตภาษีต่างประเทศ ขอแนะนำให้มีหนังสือรับรองการชำระภาษีจากหน่วยงานภาษีต่างประเทศ 

สำรวจแหล่งข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกอันครอบคลุมของเรา เพื่อช่วยคุณตัดสินใจอย่างรอบรู้เกี่ยวกับภาษีของคุณในประเทศไทย หากคุณมีข้อกังวลใดๆ กรุณาติดต่อเรา หรือ จองการปรึกษาฟรี ด้วยทีมสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญของเรา